Site icon คู่มือเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง – Chillout Korea

รีวิวเที่ยวซอรัคซาน, ไหว้พระวัด Sinheungsa, ปีนยอดเขา Ulsanbawi Rock

รีวิวเที่ยวซอรัคซาน

รีวิวเที่ยวซอรัคซาน

ก่อนไปเที่ยวซอรัคซาน แวะมาเก็บภาพที่ศาลาริมน้ำยองกึมจอง Yeonggeumjeong Sunrise Pavilion ของเมืองซกโช(Sokcho-si)กันก่อน ที่เดียวกับที่มาถ่ายไฟเมื่อคืนนี้นั่นแหล่ค่ะ ศาลายองกึมจองนี้เป็นจุดชมวิวที่ชาวเกาหลีนิยมมารอชมพระอาทิตย์แสงแรกของปีกัน ในทุกวันที่ 1 มกราคม เช้านี้ตั้งใจมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นและเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้าตรู่

พอมาถึงก็ยังไม่สว่างค่ะ เวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง อากาศค่อนข้างเย็นและก็มีลมจากทะเลพัดเข้ามาด้วย หนาวอยู่เหมือนกัน เดินถ่ายวิวรอบๆรอพระอาทิตย์ขึ้นกันไปก่อน เห็นมีคนเกาหลีค่อยๆทยอยมากันเรื่อยๆ มีทั้งมาเป็นกรุ๊ปแบกกล้องตัวใหญ่ตั้งใจมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันกับเรา หรือบางคนก็มารอชมพระอาทิตย์ขึ้นเฉยๆ แต่วันนี้เหมือนฟ้าจะปิดค่ะ มีเมฆและหมอกเยอะมาก สรุปว่ามองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น เสียดายมาก ถ้ามาหน้าหนาวคงจะเห็นดวงโตๆเลย

ยังไม่สว่างค่ะ มารอตั้งแต่เช้าเลย

พระอาทิตย์น่าจะขึ้นไปแล้ว แต่มองไม่เห็นเพราะเมฆเยอะมาก

 

แล้วมุ่งหน้าไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน(Seoraksan) กันเลยดีกว่า เดี๋ยวไปถึงสายแล้วคนจะเยอะ จากเมืองซกโชขับรถไปประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้วอยู่ใกล้ๆเลย ไปถึงรู้สึกว่าคนเริ่มจะเยอะแล้วเหมือนกัน มีทั้งที่มาเที่ยวกันเองและก็มากับกรุ๊ปทัวร์ ตอนที่ไปนี้หุบเขาซอรัคซานเป็นช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีพอดีเลย คนก็เลยมาเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ

ค่าเข้าซอรัคซาน: ผู้ใหญ่ 3,500 วอน, เด็ก(อายุ 14-19) 1,000 วอน, เด็ก(อายุ 8-13) 500 วอน
พิกัดซอรัคซาน
: Tel. 033-636-7101, GPS 38.174078, 128.488375
ค่าจอดรถ: รถเล็ก 2,000 วอน, รถใหญ่ 4,000 วอน

ที่จอดรถซอรัคซาน

ก่อนไปเกาหลีก็ได้หาข้อมูลไปก่อนแล้วว่าจะเที่ยวที่ไหนบนซอรัคซานบ้าง กะว่าจะเที่ยวบนซอรัคซานทั้งวัน แล้วตอนเย็นก็ค่อยขับรถไปโรงแรมก็เลยเลือกโปรแกรมตามนี้

โปรแกรมที่ตั้งไว้วันนี้ก็คือ ขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Gwongeumseong Fortress (1.5 km) -> ไหว้พระใหญ่วัด Sinheungsa Temple -> กินข้าวเที่ยงแถวๆนั้น -> ปีนยอดเขา Ulsanbawi Rock (3.8km) 

จริงๆแล้วเส้นทางเดินเขาของซอรัคซานนั้นมีเยอะมาก หลายสิบเส้นทางเลย แต่ที่เลือกมาก็ดูเหมือนจะเป็น Hilight ของที่นี่ ที่คนเขานิยมไปปีนเขากัน ซึ่งแต่ละเส้นทางก็จะมีระดับความชัน, ระยะทาง, และเวลาที่ใช้เดินบอกไว้คราวๆ ระยะทางมีให้เลือกตั้งแต่ 1.5 กิโล ถึง 20 กว่ากิโลเลยก็มี

ใบไม้เปลี่ยนสีกับฉากหลังเป็นภูเขาสวยงามมาก

 

พอมาถึงด้วยความที่อากาศด้านบนซอรัคซานค่อนข้างหนาว และก็ยังเช้าอยู่ด้วยประมาณ 9 โมงได้ เดินผ่านหน้าร้านกาแฟก็เลยตัดสินใจเข้าไปนั่งดื่มกาแฟแก้หนาวแก้ง่วงกันก่อน ร้านแต่งน่ารักดี เข้ากับบรรยากาศแบบภูเขาเลย เพราะใช้ไม้สนธรรมชาติมาแต่งร้าน

ด้านหน้าร้าน ตกแต่งด้วยไม้สนทั้งหมด

ด้านในร้านก็สวยไม่แพ้กัน เป็นไม้สนทั้งหลังเลย

ร้านอื่นๆ มีทั้งขายอาหาร ขายขนม

 

หลังดื่มกาแฟกันเสร็จก็รู้สึกว่าจะอุ่นขึ้นมาหน่อย พร้อมออกไปปีนเขาแรกกันแล้ว ยอดเขา Gwongeumseong Fortress มีกระเช้าให้ขึ้นไปด้านบนค่ะ ไม่ต้องเดินขึ้นไปตั้งแต่ด้านล่าง แต่พอขึ้นไปแล้วก็ต้องเดินต่อเพื่อไปยังยอดเขาอีกที

พอไปถึงที่ซื้อกระเช้าก็นึกดีใจว่าคนไม่เยอะมาก ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วเลยค่ะ ปรากฎว่าเขาให้ขึ้นเป็นรอบๆ ไปซื้อตอน 9 โมงครึ่ง ได้ตั๋วรอบ 11 โมงครึ่ง ต้องรอประมาณ 2 ชั่วโมงแหน่ะกว่าจะได้ขึ้น ถ้าใครจะขึ้นกระเช้าแนะนำให้ไปถึงแล้วรีบไปซื้อตั๋วไว้ก่อนเลย แล้วค่อยไปหาที่นั่งดื่มกาแฟรอหรือเดินเล่นรอจะได้ไม่เสียเวลา เพราะคนค่อนข้างเยอะ

ค่าขึ้นกระเช้า Cable car (ตั๋วไป-กลับ)
ผู้ใหญ่ 10,000 วอน / เด็ก 6,000 วอน

 

ที่ขายตั๋วขึ้น Cable car ไปยอดเขา Gwongeumseong Fortress

 

พอได้ตั๋วมาแล้วต้องรอขึ้นกระเช้าอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเลยต้องเปลี่ยนแผน ไปเดินเที่ยววัดชินฮึงซา(Sinheungsa Temple) กันก่อน อยู่เลยที่ขึ้นกระเช้าไปนิดนึง เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนเขาซอรัคซาน ด้านหลังองค์พระเป็นภูเขาซึ่งตอนที่มาใบไม้เปลี่ยนสีสลับเขียว ส้ม แดงพอดี และบริเวณรอบๆวัดก็มีต้นเมเปิ้ล ใบเป็นสีส้มทั้งต้นสีสดมาก ถ่ายตรงไหนก็ส้มไปหมดเลย

พระใหญ่วัด Sinheungsa Temple

ต้นเมเปิ้ลบริเวณวัด

Closed-up ใกล้ๆเห็นใบชัดดูบ้าง

 

เดินเลยวัดมานิดนึงจะมีสะพานข้ามลำธาร แวะถ่ายรูปมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้น้ำในลำธารแห้งเกือบหมดแล้ว เห็นเป็นก้อนหินแทน อีกฝั่งนึงเป็นร้านกาแฟค่ะ (ตรงที่เห็นเป็นหลังคาบ้านแบบเกาหลีในรูป) ด้านในร้านตกแต่งน่ารักดี ใช้ไม้สนคล้ายกับร้านแรกที่แวะเลยแต่มีของตกแต่งน่ารักๆเยอะกว้า ที่ซอรัคซานช่วงนี้เส้นทางเดินเส้นทางเดือนเกือบทั้งหมดใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ถ้าต้นไหนแดงก็จะแดงเต็มที่ ส้มเต็มที่เลย ไม่ผิดหวังเลยที่มาช่วงนี้ (ไปวันที่ 23 ตุลาคม 2015)

สะพานข้ามลำธาร

แผนที่เส้นทางเดินเขา มีบอกความชันไว้ด้วยค่ะ

เปลี่ยนสีแบบพีคสุดๆเลย

 

หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปมาซักพัก ก็ครบ 2 ชั่วโมงละ ถึงเวลาไปขึ้นกระเช้ากันแล้ว ตอนตั๋ว Cable Car เขาจะระบุเวลาเอาไว้เลยว่าให้ขึ้นกี่โมง พอใกล้ๆเวลาเขาก็จะเรียกให้ไปยืนรอเข้าขึ้นกระเช้า รอบนึงจะห่างกันประมาณ 5 นาที ขนาดห่างกันรอบละ 5 นาที ยังรอคิวนานขนาดนี้เลย ข้างบนที่กำลังจะขึ้นไปนี่สงสัยจะคนเยอะมากถึงมากที่สุดแน่ๆ

Cable car ขึ้นไปบนยอดเขา Gwongeumseong Fortress

ขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว วิวก็สวยสมคำล่ำลือ

ขึ้นมาถึงด้านบนกันแล้ว ตรงจุดจอดกระเช้าเป็นเหมือนจุดแวะพัก คือมีร้ายขายเครื่องดื่ม, ของกินและก็ขนม ที่เห็นคนกินกันเยอะมากก็คือขนมของร้านนี้ เป็นเหมือนแป้งทอด มีไส้ด้านในเป็นน้ำตาล ทอดจนข้างนอกกรอบ แล้วก็กินกันร้อนๆ ลองชิมแล้วก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ใส่ไส้มาน้อยไปหน่อย ไม่งั้นคงอร่อยกว่านี้

ขนมแป้งทอดไส้น้ำตาล

ที่เห็นเป็นสีเข้มๆตรงกลางก็คือไส้ที่ทำจากน้ำตาลนั่นเอง

จากจุดจอดกระเช้าก็ต้องเดินต่อเพื่อไปยังยอดเขา ดูจากในภาพก็คงจะเห็นว่าคนเยอะแค่ไหน เวลาเดินก็เดิมตามกันไปเรื่อยๆ ทางส่วนใหญ่เป็นบันไดให้เดิน ทำไว้ค่อนข้างดีเลยหล่ะ เส้นทางนี้เดินไม่ยากและก็ไม่ชันเท่าไหร่ วิวจากด้านบนนี้สวยมากมองเห็นเป็นภูเขาสลับซับซ้อน และยอดต้นไม้สีส้มตัดกับต้นสนสีเขียว สามารถถ่ายรูปแบบพาโนราม่าได้เลย

วิวตึกจอดกระเช้า

ทางเดินไปยอดเขา

 

เดินมาซักพักไม่ไกลมาก็ถึงยอดเขา Gwongeumseong Fortress  แล้ว จากจุดนี้จะไม่มีบันไดหรือทางเดินให้เดินขึ้นไปแล้ว ต้องปีนขึ้นไปอย่างเดียว คนที่เดินขึ้นไปต่อจะน้อยกว่าที่เดินมาเมื่อสักครู่นี้ แต่ก็ยังถือว่าเยอะอยู่ดี ใครที่ไม่ปีนขึ้นบนยอดเขาก็ถ่ายรูปตรงจุดนี้ได้เหมือนกัน เพราะวิวค่อนข้างสวย

หลังจากเดินไปไม่ไกลก็มาถึงแล้ว ยอดเขา Gwongeumseong Fortress

เดินไต่หินขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าดูจากในรูปจะเห็นจุดบนสุดของยอดเขามีธงเกาหลีปักอยู่ เราจะปีนขึ้นไปบนนั้นกัน ซึ่งทางจะชันมากตรงใกล้จะถึงยอดเขา ระยะทางไม่ไกลเลยแต่ทางจะค่อนข้างแคบ บางช่วงไม่สามารถเดินสวนกันได้ต้องให้คนที่จะลงจากยอดเขาไต่ลงมาก่อน แล้วเราถึงจะขึ้นไปได้ บางช่วงก็จะมีเชือกให้จับดึงตัวเองขึ้นไป

เริ่มออกปีนขึ้นสู่ยอดเขา

 

ค่อยๆปีนมาเรื่อยๆก็มาถึงยอดเขาจนได้ มีขายของที่ระลึกว่าเราได้พิชิตยอดเขานี้แล้ว ด้านบนแทบจะไม่มีพื้นที่ราบให้ยืนสักเท่าไหร่ มีแค่เท่าที่เห็นในภาพแค่นั้นเอง ส่วนใหญ่ต้องนั่งหรือยืนบนโขดหินเอา ที่สำคัญไม่มีราวเหล็กกันตก ถ้าขึ้นไปแล้วก็ต้องเดินระวังกันหน่อยเดี๋ยวจะลื่นตกลงไป

ด้านบนยอดเขา

วิวบนยอดเขา Gwongeumseong Fortress

 

พอลงจากยอดเขาแล้วก็เดินกลับไปที่ตึกเดิมเพื่อลง Cable Car ไปด้านล่าง ขาลงไม่มีเวลาระบุไว้เหมือนขาขึ้น ให้ยืนต่อคิวขึ้นกระเช้าได้เลย ตอนเข้าไปในตู้กระเช้าแนะนำให้ยืนฝั่งด้านหน้าซ้ายมือของกระเช้า จะมองเห็นวิวของวัด Sinheungsa Temple จากมุมสูงได้พอดี

Cable car ขึ้นมารับแล้ว

วิวของวัด Sinheungsa Temple จากมุมสูง

 

ลงมาถึงก็มื้อเที่ยงพอดี เที่ยงนี้กินพิซซ่าเกาหลี หรือภาษาเกาหลีเรียกว่า “พาจอน Pajeon” จิ้มกินกับน้ำจิ้มงาสีน้ำตาลแบบในรูป ดูคล้ายๆกับโอโคโนมิยากิของญี่ปุ่นแต่เครื่องที่ใส่จะคนละแบบ ที่เกาหลีจะเป็นปลาหมึกกับต้นหอมและแป้ง รสชาติก็พอกินได้ไม่ถึงกับอร่อยมาก กินของคาวเสร็จก็ต่อกันด้วยของหวานขนมถั่วแดงต้มที่ร้านกาแฟเมื่อเช้านี้กินกับไอติมซอฟครีม

พิซซ่าเกาหลีพาจอน Pajeon

ถั่วแดงต้มกินกับซอฟครีม

 

อิ่มกันแล้วก็มีแรงเดินต่อไปยังจุดหมายต่อไป ยอดเขา Ulsanbawi Rock เดินไปกลับก็ระยะทางทั้งหมดเกือบ 8 กิโล

▲ Ulsanbawi Rock (2hrs, 3.8km): Sogongwon (소공원) → Sinheungsa Temple (신흥사) → Heundeulbawi Rock/Gyejoam (흔들바위/계조암) → Ulsanbawi Rock (울산바위)

จากจุดลงกระเช้าก็ให้เดินไปทางวัด Sinheungsa Temple จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปประมาณ 2.1 กิโลเมตร ช่วงตรงนี้ยังไม่ค่อยชันมาก และก็จะถึง Heundeulbawi Rock จากนั้นอีก 1 กิโลเมตรสุดท้ายจะเป็นทางชันระดับ Advance ความชันอยู่ที่ 30% เส้นทางเดินเขาที่เกาหลีเขาทำไว้ค่อยข้างดี มีข้อมูลบอกหมดว่าระดับความยากง่ายแค่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกเส้นทางได้ง่่ายขึ้น

แผนที่เส้นทางเดิน Ulsanbawi Rock

ระดับความชันของ Ulsanbawi Rock

 

อย่ารอช้า ศึกษาเส้นทางเสร็จแล้วก็เริ่มเดินกันเลย ทางช่วงแรกเดินง่ายมาก เป็นทางลาดๆไม่ชันและทำทางเดินไว้อย่างดี ตรงส่วนที่เป็นทางขึ้นเนินทางอุทยานเขาก็ทำบันไดไว้ให้

เริ่มต้นเดินเส้นทางยอดเขา Ulsanbawi Rock

เดินเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ชมใบไม้เปลี่ยนสีสองข้างทาง

ผ่านวัดต่างๆ

เดินมาเจอป้ายบอกทาง ไปยอดเขาอีก 2.4 กิโล แปลว่าเดินมาได้ 1 ใน 3 แล้ว

ทำสะพานไว้ให้เดินด้วย ไม่ต้องปีนเขาเลย

ใบไม้เปลี่ยนสีสวยจริงๆ

สะพานหินข้ามลำธารเล็กๆ

เดินมาตั้งนานเพิ่งจะเห็นยอดเขา  Ulsanbawi Rock เราจะขึ้นไปบนยอดนั้นกัน ดูจากในรูปเหมือนจะอยู่ไกลมาก ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางไม่ถึง 4 กิโล แต่ก็ยังไม่ถอดใจเพราะตอนที่ไปเดินนั้นไม่รู้ว่ายอดที่จะไปมันคือยอดนี้ เพราะดูแล้วเหมือนอยู่ไกลกันหลายสิบกิโล ถ้ารู้ก่อนล่วงหน้าสงสัยจะเดินกลับตั้งแต่ตอนนี้แล้วแหล่ะ

เริ่มมองเห็นยอดเขา Ulsanbawi Rock แล้ว

แล้วก็เดินต่อกันไปเรื่อยๆ ผ่านวัดบ้าง, ทางเดินป่าบ้าง แล้วทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เป็นทั้งทางปีนเขาสลับกับบันได แต่วิวต้นไม้สองข้างทางสวยตลอด ทำให้เพลินไปกับการถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสี ไม่เบื่อเลย มีทั้งต้นเมเปิ้ลสีแดงสด สีส้ม สีเหลือง พวกต้นเมเปิ้ลจะไม่สูงมากขึ้นสลับกับต้นไม้ใหญ่ที่ใบยังเป็นสีเขียวอยู่ ถ้าใครมาเที่ยวซอรัคซานต้องมาช่วงนี้เลย มาชมใบไม้เปลี่ยนสีก็คุ้มแล้ว ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

และแล้วก็มาถึง Heundeul Bawi Rock  จุดนี้จะมีโขดหินก้อนใหญ่ทรงเกือบกลมตั้งอยู่บนฐานหิน แต่ไม่มีอะไรมาค้ำยันเลย จึงเป็นที่น่าแปลกว่าหินก้อนนี้ไม่ล่วงลงไปและยังคนตั้งอยู่ได้แม้จะโดนฝนโดนลมแรง

Heundeul Bawi Rock

พระพุทธรูปบนโขดหิน

อลังการมาก ใบไม้เปลี่ยนสี ของจริงก็สีสดแบบในรูปเลย

หลังจากผ่าน Heundeul Bawi Rock มาแล้ว เส้นทางต่อจากนี้จะเป็นช่วง 1 กิโลเมตรสุดท้ายที่ขึ้นไปยังยอดเขา  Ulsanbawi Rock ทางจะชันมาก แต่ถึงทางจะชันก็ยังคงทำไว้ทางเดินค่อนข้างดี มีบันไดให้เดินไปเรื่อยๆ ข้างทางก็เป็นวิวใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้ว

ดูจากทางเริ่มชันแล้ว แต่ก็ยังมีบันไดให้ปีน

เหลืออีก 800 เมตร

มองเห็นสันเขาอยู่ไมไกลแล้ว

วิวสันเขาทอดเป็นแนวยาว ตัดกับต้นไม้ด้านล่าง

เหลืออีก 400 เมตร ทางเดินเริ่มยากขึ้นและก็ชันมาก

มีคนแอบมาแวะพักเหนื่อยกัน

 

จากจุดตรงนี้ประมาณ 300 เมตรสุดท้ายจะโหดที่สุด ชันที่สุด แต่ทางก็เป็นบันไดเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ลัดเลาะสันเขาขึ้นไป ตรงช่วงนี้ให้ค่อยๆเดินขึ้น ถ้าใครเหนื่อยหรือหอบให้หยุดแวะพักก่อน เพราะอากาศด้านบนจะเบาบาง ออกซิเจนน้อยกว่าด้านล่าง ถ้าใครกลัวความสูงก็อย่าหันหลังกลับมามองบ่อย เพราะมันหวาดเสียวมาก บันไดเหล็กเหมื่อนยื่นออกมาจากเขาหินเลย

ทางขึ้นสู่ยอดเขา

บันไดเลี้ยวไปเลี้ยวมา

มองย้อนกลับลงไปด้านล่าง วิวสวยมาก และก็เสียวมาก

เกือบถึงยอดเขาแล้ว

 

หลังจากปีนบันไดมาด้วยความลำบาก เราก็มาถึงยอดเขา  Ulsanbawi Rock จนได้ ด้านบนจะมีทางขึ้นไปบนยอด 2 จุด จุดที่ 1 จะมองเห็นจากในรูปด้านล่างนี้ ส่วนจุดที่ 2 คือจุดที่ยืนถ่ายรูปอยู่ บนยอดเขานั้นจะมีรั้วเหล็กเตี้ยๆไม่สูงมากกั้นอยู่ตรงขอบ ตอนที่ขึ้นมายืนช่วงแรกๆนั้นอาจจะยังกลัวอยู่ ต้องรอให้ร่างกายปรับสถาพซัก 5-10 นาทีก็จะเริ่มชิน ตอนแรกยืนตรงๆไม่ได้เลย ต้องเหมือนย่อตัว+คลานไปถ่ายรูป มันหวาดเสียวมาก มองไปด้านข้างนี้เหมือนเป็นเหวไม่มีอะไรรองรับอยู่ข้างล่างเลย แต่พอเริ่มชินก็เดินไปเดินมาได้ปกติ

วิวบนยอดเขา Ulsanbawi Rock

เขาที่นี่เป็นเขาหิน รอบข้างไม่มีต้นไม้ เหมือนสูงเลยต้นไม้ขึ้นมาพอสมควร

บนยอดเขาจุดที่ 2 มีร้านขายของอยู่ เจ้าของร้านที่นี่ก็ใจดีอาสาเป็นช่างกล้องให้ด้วย น่ารักมาก

วิวใกล้ๆของยอดเขาจุดที่ 1 ซึ่งจะอยู่เตี้ยกว่า

มุมนี้มาอยู่บนยอดเขาจุดที่ 1 แล้ว

ถ่ายย้อนกลับไปยอดเขาจุดที่ 2

ระหว่างทางกลับเจอกระรอกน้อย ลายสวยเชียว

รูปสุดท้ายกับใบไม้เปลี่ยนสีของซอรัคซาน

กว่าจะเดินกลับมาถึงด้านล่างก็เย็นพอดี ประมาณ 6 โมงเย็น ที่เกาหลีเริ่มมืดแล้ว จากนั้นก็ขับรถไปที่โรงแรมเลย วันนี้นอนตรงเชิงเขาโอแดซาน Odaesan โรงแรมนี้บรรยากาศดีอยู่กลางธรรมชาติเลย เสียดายที่ไปถึงค่ำแล้วเลยไม่ได้เดินเล่นชมสวนของโรงแรม Kensington Flora Hotel Pyeongchang Tel. 033-330-5000, GPS 37.688850, 128.597573

มาถึงโรงแกรมก็ทานข้าวเย็นกันเลยเพราะครัวใกล้ปิดแล้ว วันนี้สั่งหม้อไฟเกาหลีมากินกัน คล้ายกับสุกี้ญี่ปุ่นแต่เหมือนน้ำซุปจะเข้มข้นกว่า จำชื่อภาษาเกาหลีไม่ได้ เป็นเนื้อวัวต้มกับผักต่างๆและก็มีวุ้นเส้นเกาหลีด้วย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยแหล่ะ

อาหารเย็นที่โรงแรม

Exit mobile version